คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เป็นกรดอะมิโน โดยจะเกิดการผลิตคอลลาเจนขึ้นเมื่อกินอาหารที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโน เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา หรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งหลังจากที่อาหารถูกย่อยสลายจนแตกตัว อาจก่อตัวขึ้นใหม่เป็นโปรตีนในลักษณะอื่น ๆ เช่น โปรตีนที่ช่วยในกระบวนการรักษาแผล ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกว่า คอลลาเจนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจนน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้การเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง เป็นสาเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ขาดความยืดหยุ่น และบริเวณข้อต่อเริ่มไม่แข็งแรงตามไปด้วย
ประโยชน์ของคอลลาเจนต่อสุขภาพมีมากมาย เช่น
หนึ่งในประโยชน์ของคอลลาเจน คือ การช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่า การกินคอลลาเจนอาจช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและโปรตีนอื่น ๆ เช่น อีลาสติน (Elastin) และฟิบริลลิน (Fibrillin) ซึ่งอาจช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ผิวกระชับ และชุ่มชื้นมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังอาจมีการฉีดกรดโพลี แอล แล็กติก (Poly-L-lactic acid: PLLA) หรือที่เรียกว่า Sculptra เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไป ซึ่งอาจช่วยให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ครีมบำรุงผิวคอลลาเจนที่อ้างสรรพคุณฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิวหนัง อาจไม่ช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลดเลือนริ้วรอยได้ เนื่องจากครีมอาจไม่สามารถดูดซึมเข้าผิวหนังชั้นลึกได้ ดังนั้น ครีมคอลลาเจนอาจให้ผลลัพธ์ต่อผิวหนังชั้นบน ซึ่งอาจช่วยลดอัตราการสูญเสียน้ำของผิว และอาจทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนในร่างกายลดลง และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่อยู่ที่ปลายตรงกระดูกในข้อมีการเสื่อม โดยการกินคอลลาเจนอาจทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนผ่านลำไส้และไปสะสมในกระดูกอ่อน ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเสื่อม เข่าเสื่อม หรือโรคเกี่ยวกับข้อกระดูกอื่น ๆ รวมทั้งยังอาจช่วยบำรุงข้อต่อต่าง ๆ ให้ทำงานดีขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องกินคอลลาเจนติดต่อกันประมาณ 3–5 เดือนหรือในระยะยาว จึงจะเห็นผลชัดเจน
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่มีการอักเสบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งการอักเสบในร่างกายอาจทำให้กระดูกอ่อนที่ช่วยปกป้องข้อต่อเกิดความเสียหาย และทำให้เกิดอาการปวดข้อตามมาได้ โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่กินคอลลาเจนมีอาการปวดข้อน้อยลง ข้อต่อทำงานได้ดีขึ้น และมีอาการบวมในข้อต่อลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม การกินคอลลาเจนไม่สามารถใช้แทนยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
คอลลาเจนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดในผู้ที่ไม่ได้มีโรคข้อหรือกระดูกได้ เช่น อาการปวดข้อหลังการผ่าตัด อาการปวดหลังได้รับบาดเจ็บ ปวดหลัง และปวดคอ โดยมีการทดลองหนึ่งที่ให้สมาชิกชมรมกีฬาในมหาวิทยาลัยแบ่งกลุ่มดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และยาหลอกเป็นเวลาต่อเนื่อง 24 สัปดาห์
หลังสิ้นสุดการทดลอง ปรากฏว่านักกีฬาที่ดื่มเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนมีอาการปวดข้อลดน้อยลง อีกทั้งยังอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพข้อต่อและลดโอกาสเสื่อมของข้อต่อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างนักกีฬาที่ต้องใช้งานข้อต่ออย่างหนักเป็นประจำ
การใช้คอลลาเจนอาจมีความปลอดภัย โดยคอลลาเจนสามารถใช้ทุกวันได้ แต่ปริมาณการใช้คอลลาเจนต่อวันอาจแตกต่างกันไปตามรูปแบบของคอลลาเจนที่ใช้ หากกินอาหารเสริมคอลลาเจน ควรกินในปริมาณที่ฉลากระบุไว้เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังอาจมีข้อควรระวังที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ของผู้บริโภคอีก เช่น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการเริ่มกินอาหารเสริมคอลลาเจน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากในอาหารเสริมคอลลาเจนอาจมีการผสมสมุนไพรหรือส่วนผสมอื่น ๆ ที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่ใช้อยู่ได้